ศิลปินแกรมมี่ โกลด์ ขอสดุดี ราชินีลูกทุ่ง “พุ่มพวง ดวงจันทร์”
สาวดอกหญ้า “ต่าย อรทัย” เจ้าของเพลง “ไม่ร้องไห้ไม่ใช่ไม่เจ็บ” “แม่ผึ้ง พุ่มพวง ดวงจันทร์ ก็เปรียบเสมือนคุณครูอีกคนที่สอนให้ต่ายร้องเพลง ตอนสมัยเด็ก ๆ ต่ายก็ได้ฟังเพลงของแม่ผึ้งมาบ้าง บางครั้งก็ยังเคยใช้เพลงของแม่ผึ้งในการประกวดร้องเพลง ตอนที่ต่ายต้องจากบ้านมาทำงานในกรุงเทพฯ เวลาที่ต่ายนึกถึงยาย ต่ายก็จะฟังของแม่ผึ้ง พุ่มพวง ดวงจันทร์”
นักร้องสาวแก้มป่อง “ตั๊กแตน ชลดา” เจ้าของเพลงฮิต “อยากเป็นแฟนเธอแทนเขา” “แม่ผึ้ง พุ่มพวง ดวงจันทร์ เป็นศิลปินในดวงใจของตั๊กแตนเลยค่ะ เวลาแตนไปประกวดร้องเพลงตามเวทีต่าง ๆ ก่อนจะมาเป็นศิลปิน แตนก็ใช้เพลงของแม่ผึ้งประกวดด้วยค่ะ แม่ผึ้งเป็นคนที่ร้องเพลงได้เพราะและกินใจ การร้องก็ชัดถ้อยชัดคำ นี่ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ตั๊กแตนเอง นำมาปรับใช้กับการร้องของตั๊กแตน ถึงตัวแม่ผึ้งจะไปโลกนี้ไป แต่ในใจตั๊กแตนก็ยังคงมีแม่ผึ้ง พุ่มพวง ดวงจันทร์เสมอค่ะ”
ลูกทุ่งสาวโมเดิร์น “เอิร์น เดอะสตาร์” เจ้าของอัลบั้ม “คนที่เธอคิดถึง” “สำหรับแม่ผึ้ง พุ่มพวง ดวงจันทร์ ถือได้ว่าเป็นศิลปินต้นแบบให้กับนักร้องหลายคน รวมถึง เอิร์น ด้วยค่ะ เมื่อก่อนตอนที่เอิร์นประกวดร้องเพลง เอิร์น ก็ยังได้ใช้เพลงของแม่ผึ้งในการประกวดด้วย เพลงของแม่ผึ้ง พุ่มพวง ฟังกี่ทีๆ ก็ยังเพราะเหมือนเดิม เอิร์นอยากจะให้น้อง ๆ เยาวชนคนรุ่นใหม่หันมาฟังเพลงลูกทุ่งกันเยอะ ๆ นะคะ เอิร์นเชื่อว่าเพลงลูกทุ่งมีสิ่งดี ๆ ให้ค้นหาค่ะ”
นักร้องสาวเสียงโศก “รัชนก ศรีโลพันธุ์” เจ้าของเพลงฮิต “ฝนตกในทะเล” “เพลงลูกทุ่งก็เปรียบเสมือนกับวัฒนธรรมประจำชาติไทย แต่ถ้าจะพูดถึง ราชินีเพลงลูกทุ่ง ก็คงจะนึกถึง แม่ผึ้ง พุ่มพวง ดวงจันทร์ ผู้ที่มีความสามารถในการร้องเพลงได้เพราะและกินใจ ตัวรัชนกเอง ก็ชื่นชอบผลงานเพลงของแม่ผึ้งพุ่มพวง ดวงจันทร์ พอได้มาร้องเองในอัลบั้ม ดวงจันทร์…กลางดวงใจ ก็ยิ่งรู้สึกดีมาก ๆ เพลงของแม่ผึ้ง พุ่มพวง ดวงจันทร์ เปรียบเสมือนบทเพลงที่คอยรักษาวัฒนธรรมเพลงลูกทุ่งนี้ไว้ให้คงอยู่คู่กับคน ไทย เพราะเด็ก ๆ สมัยนี้หลายคนจะรู้จักเพลงลูกทุ่ง จากเสียงร้องของแม่ผึ้งพุ่มพวง ดวงจันทร์”
นักร้องและนางเอกหน้าใหม่ “เปาวลี พรพิมล” ผู้ที่รับบทเป็น พุ่มพวง ดวงจันทร์ ในภาพยนตร์เรื่อง “พุ่มพวง” “แม่ผึ้ง พุ่มพวง ดวงจันทร์ เป็นแม่แบบให้กับหนู อีกทั้งยังคอยเป็นแรงบันดาลใจให้สู้ในทุกเวที หนูชื่นชอบบทเพลงของแม่ผึ้งมาตั้งแต่เด็ก คุณแม่จะร้องให้ฟังอยู่บ่อยๆ จนทำให้ซึมซับในบทเพลงของแม่ผึ้ง และทุกครั้งที่หนูประกวดร้องเพลงตามเวทีต่างๆ ก็จะใช้เพลงของแม่ผึ้งในการประกวดทุกครั้ง แม่ผึ้ง เป็นราชินีลูกทุ่ง ที่ไม่มีใครสามารถเทียบได้ และจะเป็นแบบนี้ตลอดไปค่ะ
ศิลปินร็อกอารมณ์ดี “พี สะเดิด” เจ้าของเพลงรักโรแมนติก “รักจัง” “ถ้าจะให้พูดถึง แม่ผึ้ง พุ่มพวง ดวงจันทร์ นี่ก็คือนักร้องหญิงในดวงใจของผมอีกคน แม่ผึ้ง เป็นคนที่มีความสามารถมาก ๆ ทั้งในเรื่องความจำ และการร้องเพลง เพลงของแม่ผึ้งที่ถูกถ่ายทอดออกมาแต่ละบทเพลงนั้น ออกมาจากจิตวิญญาณของการเป็นนักร้องจริงๆ แม่ผึ้งสามารถถ่ายทอดบทเพลงออกมาแล้วให้คนฟังรู้สึกอินไปกับบทเพลงนั้น ๆ ผมก็อยากจะให้น้อง ๆ ที่ฝันจะเป็นนักร้อง ลองนำทักษะดี ๆ ที่แม่ผึ้งได้ทำไว้ให้เห็นนำไปปฏิบัติและช่วยกันอนุรักษ์เพลงลูกทุ่งนี้ให้ อยู่คู่คนไทยตลอดไป”
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก ทีวีบูรพา รายการคนค้นฅน
ในบรรดาผู้ที่ชื่นชอบเพลงลูกทุ่งอายุราว 50 ปีขึ้นไป คงไม่มีใครไม่รู้จักผู้ชายคนนี้ "แมน ซิตี้ไลอ้อน" หรือ "ชาย เมืองสิงห์" นักร้องลูกทุ่งผู้เคยโด่งดัง และมีเพลงฮิตมากมายในอดีต เช่น "เมียพี่มีชู้", "ทำบุญร่วมชาติ" ฯลฯ กับลีลาและน้ำเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ จนได้รับขนานนามว่าเป็นตำนานคนหนึ่งของวงการลูกทุ่งไทย และได้รับรางวัลศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง นักร้อง-นักแต่งเพลงลูกทุ่ง เมื่อปี พ.ศ.2538
แต่เรื่องราวของ "ชาย เมืองสิงห์" ไม่ได้น่าสนใจเพียงแค่ในฐานะที่เขาเป็นนักร้องชื่อดังเท่านั้น ยังมีอีกหลากหลายเรื่องราวที่แสดงให้เห็นว่า นักร้องลูกทุ่งคนนี้เป็น "ลูกทุ่งหัวใจสิงห์" อย่างแท้จริง อย่างที่ "รายการคนค้นฅน" ทางโมเดิร์นไนน์ทีวี นำเสนอชีวิตของเขาผู้นี้ได้อย่างน่าสนใจ
"ชาย เมืองสิงห์" หรือชื่อจริง "สมเศียร พานทอง" เป็นชาวจังหวัดสิงห์บุรีตั้งแต่กำเนิด และชื่นชอบการร้องเพลงมาตั้งแต่เด็ก ๆ จนได้มีโอกาสร้องเพลง และกลายเป็นนักร้องนักแต่งเพลงผู้โด่งดังในยุคหนึ่ง ปัจจุบัน "ชาย เมืองสิงห์" ในวัย 72 ปี ล้มป่วยด้วยโรคเส้นเลือดในสมองตีบ ต้องนั่งรถเข็น ประคองตัวเองด้วยไม้เท้า และพักรักษาตัวมานานกว่า 3 ปีแล้ว จน ออกไปปรากฏตัวตามที่สาธารณะบ่อย ๆ เหมือนแต่ก่อนไม่ได้ แม้แต่การร้องเพลงที่เขารักก็ยังได้รับผลกระทบจากอาการเจ็บป่วยของเขาด้วย เพราะเขาจะใช้พลังเอื้อนมากเท่าในอดีตไม่ได้
แต่อย่างไรเสีย ในเมื่อใจรักการร้องเพลงแล้ว "ชาย เมืองสิงห์" จึงยังคงรับงานร้องเพลงตามงานอยู่บ้าง โดยรับเฉพาะงานที่เดินทางใกล้ ๆ เท่านั้น เพราะหากไกลเกินไปก็จะเดินทางไม่ไหว และไม่สะดวกที่จะค้างคืน เพราะต้องขนคนไปดูแลอีก ซึ่ง "ชาย เมืองสิงห์" ก็บอกว่า ตลอด 3 ปีที่ป่วย เขารู้สึกชินแล้วกับการร้องเพลงบนรถเข็น บางครั้งที่ลุกขึ้นยืนก็มีคนคอยช่วยประคองอยู่ด้านหลัง แต่ถึงกระนั้นตำนานลูกทุ่งคนนี้ ก็ยังรู้สึกอึดอัด เพราะเวลาขึ้นเวทีทีไรก็ร้องได้อย่างเดียว เต้นไม่ได้ รำไม่ได้ ออกลีลามากก็ไม่ได้ แต่ก็ยังดีที่มีงานเข้ามาบ้าง
ทั้งนี้ "ชาย เมืองสิงห์" จะรับผิดชอบกับทุกงานที่รับ โดยจะมาก่อนงานทุกครั้ง อย่างเช่นงานร้องเพลงที่ต้องขึ้นเวที 2 ทุ่ม แต่ตัวศิลปินแห่งชาติคนนี้จะมาซ้อมตั้งแต่บ่ายสองโมง แม้ศิลปินคนอื่น ๆ จะยังไม่มา และไม่เคยเบี้ยวงาน แต่ถ้าไม่สบายจริง ๆ นักร้องอาวุโสก็จะออกตัวกับแฟนเพลงก่อนเลยว่า วันนี้ไม่สบาย แต่จะไม่อยากให้เปิดแผ่นลิปซิงเอาเปรียบคนฟัง เพราะปากกับลูกเอื้อนมันจะไม่ตรงกัน
หลายคนบอกว่า เมื่อเทียบกันระหว่างตอนที่ "ชาย เมืองสิงห์" ยังไม่ป่วยกับตอนนี้ พลังความเต็มที่ของเขาไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย เพราะทุกครั้ง "ชาย เมืองสิงห์" ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า ตัวเขามีจิตใจเกินร้อย และทุกคนก็เห็นได้ชัดเจนว่า นักร้องวัย 72 ปีคนนี้ มีความสุขทุกครั้งยามที่ได้ร้องเพลง และได้ขึ้นเวที ความเจ็บป่วยและวัยชราไม่สามารถบั่นทอนความสุขของ "ชาย เมืองสิงห์" ไปได้ ที่สำคัญจนถึงวันนี้ ยังมีแฟนเพลงเข้ามาทักทาย และขอถ่ายรูปคู่ด้วยเสมอ แม้จะดูบางตาไปบ้างจากสมัยอดีต
แล้วอะไรล่ะที่ทำให้ "ชาย เมืองสิงห์" ครองใจแฟนเพลงมานานกว่าครึ่งศตวรรษ? นักร้องลูกทุ่งชื่อดังอย่างพี่เป้า สายัณห์ สัญญา แสดงความเห็นไว้ว่า เป็น เพราะอาชาย เมืองสิงห์ มีความสามารถรอบตัว เป็นทั้งนักร้อง นักประพันธ์ และความดังของเขาในสมัยก่อนถือว่าดังแบบสุด ๆ ไม่มีใครเทียบ เด็กที่ไหนก็ต้องฟังเพลงของเขา ดังไม่แพ้ครูสุรพล
ขณะที่ "สัญญา พรนารายณ์" นักร้องลูกทุ่งอีกคน ก็บอกว่า ชาย เมืองสิงห์ เป็นคนที่จริงจังกับการทำงานมาก ตั้งใจซ้อมทุกงานที่รับมา ไม่ปล่อยปละละเลยเวลา เช่นเดียวกับ "สดใส รุ่งโพธิ์ทอง" นักร้องรุ่นน้องของ "ชาย เมืองสิงห์" ที่บอกว่า พี่ชาย เมืองสิงห์ เป็นคนที่ร้องเพลงชัด และที่สำคัญคือมีลูกเอื้อนที่แปลก ในวงการลูกทุ่งเรียกว่า มีแก๊ก เรียกว่าเป็นคนมีอารมณ์เพลงลูกทุ่งที่ดี ทำให้ศิลปินคนนี้ยังครองใจแฟนเพลงมาหลายทศวรรษ
อย่างไรก็ตาม "ชาย เมืองสิงห์" ก็ยอมรับว่า เพราะสังขารและอาการป่วยทำให้เขาแสดงได้ไม่เต็มร้อยเท่าไหร่ ส่วนเรื่องคนดูน้อย ก็ไม่เคยเครียดเลย กลับกันยิ่งเห็นว่ามีคนดูน้อย ก็ยิ่งต้องเล่นมากขึ้น เพราะแสดงว่าเขาตั้งใจมาดู "ชาย เมืองสิงห์" แม้จะเล่นกลางสายฝนที่เปียกปอน แต่เขาก็ยอมตากฝน ร้องเพลงให้แฟนเพลงที่ตั้งใจมาชมเขาได้รับความสุขกลับบ้านไป โดยอาชาย เมืองสิงห์ คิดไว้เสมอว่า "ในเมื่อเขาไม่หนี เราก็ไม่หนี"
นอกจากนั้นแล้ว เพื่อร่างกายที่จะกลับมาใช้ชีวิตดังเดิมได้ "ชาย เมืองสิงห์" ยังต้องไปทำกายภาพบำบัดที่คณะกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยมหิดลเสมอ ๆ เพื่อไม่ให้กล้ามเนื้อตาย ซึ่งหลังจากที่ทำกายภาพบ่อย ๆ ก็ทำให้แขนซ้ายกลับมามีเรี่ยวมีแรงขึ้นมาก จากเดิมที่ยกแขนไม่ขึ้นเลย และเมื่อถามเจ้าตัวว่า คาดหวังอะไรบ้างกับการเข้ามาทำกายภาพบำบัด ศิลปินลูกทุ่ง ก็บอกว่า จริง ๆ ไม่ได้คาดหวังอะไรมากนัก แต่เป้าหมายสูงสุดก็คืออยากกลับไปยืนร้องเพลงให้ได้ดังเดิม
"เอาแค่ขอให้ร่างกายกลับไปเหมือนเดิมได้สัก 75% ก็พอแล้ว ร้องเพลงได้สักครึ่งชั่วโมงก็พอแล้ว ไม่เอาถึงร้อยหรอก แต่ใจนี่เกินร้อยนะ แต่ร่างกายนี่ได้เท่าอายุก็พอแล้ว" อาชาย ตั้งความหวัง
และการที่ "ชาย เมืองสิงห์" กลายเป็นนักร้องที่มีแฟนเพลงติดตามผลงานนับพันเพลงมานานกว่าครึ่งศตวรรษ และยังยืนยงอยู่จนถึงปัจจุบันนี้ได้นั้น เขาบอกว่า คนที่มีพระคุณที่สุดจะเป็นใครไปไม่ได้ นั่นก็คือ "แฟนเพลง" นั่นเอง
"แฟนเพลงเป็นผู้มีพระคุณอย่างหาที่สุดไม่ได้ ต้องไม่ทำให้แฟนเพลงผิดหวัง เสียงปรบมือของแฟนเพลงคือพลังที่ทำให้ใจเราฮึกเหิม มีกำลังใจขึ้นมา ก็จะร้องเพลงต่อไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ จนกว่าจะร้องเพลงไม่ไหวอีกแล้ว..." ลูกทุ่งหัวใจสิงห์ ทิ้งท้าย
คงจะไม่ผิดนักหากจะใช้คำว่า "ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่" กับนักร้องลูกทุ่งผู้โด่งดังในอดีตคนนี้ เพราะตลอดชีวิตของการเป็นศิลปิน "ชาย เมืองสิงห์" ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า เขาเคารพ ให้เกียรติกับอาชีพนี้ ตลอดจนแฟนเพลงทุกคน ไม่ว่าวันนั้นจะเป็นวันที่เขามีชื่อเสียงสูงสุดในชีวิต หรือเป็นวันที่ชื่อเสียงเริ่มจะลดน้อยลงไปตามกาลเวลา ซึ่งมาพร้อมกับอาการเจ็บป่วยที่รุมเร้า แต่ไม่ว่าจะเป็นวันไหน "ชาย เมืองสิงห์" ก็ยังกล้าเผชิญหน้ากับอุปสรรคด้วยความเข้มแข็ง และพิสูจน์ให้เห็นว่า "ชาย เมืองสิงห์" เป็นนักสู้หัวใจสิงห์สมชื่อหลังสิ้นยุคของฉัตรทอง มงคลทอง (คนรุ่นใหม่อาจจะคุ้นชื่อจากหนัง ฟอร์มาลีนแมน) มีการพยายามปั้นนักร้องใต้ขึ้นมาแทนที่ แต่เหมือนจะไม่มีใครขึ้นมาแทนได้เลยสักคน นับจากนั้นเพลงลุกทุ่งใต้ที่ดังพอๆ กับลูกทุ่งฉบับภาคกลางค่อยๆ ลดบทบาทลงไป จนระยะหลังมีลูกทุ่งอีสานเข้ามาแทนที่ และเกร่อล้นแผงเทปในปัจจุบัน
ในบรรดานักร้องลูกทุ่งใต้ที่นับตัวได้ (ไม่นับพวกเพื่อชีวิตแบบกลอนพาไป) เห็นจะมีก็แต่เอกชัย ศรีวิชัย ที่อาจนับได้ว่าเทียบได้หรือเหนือกว่า หลายคนอาจไม่ค่อยชอบเพราะเพลงส่วนหนึ่งค่อนข้างทะลึ่ง อันนี้แล้วแต่จริตแต่ละคนเถอะครับ แต่นั่นคือวิถีของคนบ้านๆ เป็นศิลปินใต้เพียงคนเดียวที่เข้าถึงและถ่ายทอดศิลปะ ขนบ และธรรมเนียมใต้ได้อย่างลึกซึ้งคมคายชนิดหาตัวจับยาก ..คนรุ่นหลังอาจไม่เข้าใจซึ่งก็เข้าใจได้ ผมเองก็เคยถูกปรามาสจากแม่มาก่อนว่า ชอบดูหนังตะลุงก็จริงแต่ “ดูหนังไม่เป็น” จนโตขึ้นอีกหน่อยนั่นแหละถึงเข้าใจว่าแม่หมายถึงอะไร แต่อย่ารู้เลยครับ
ขึ้นชื่อว่าเอกชัย ไปเล่นที่ไหนคนเต็ม เพราะเป็นการแสดงที่ คุ้มเกินคุ้มกับเงินที่จ่ายไป เล่นเต็มเวลา ตรงเวลาและอัดแน่นด้วยศิลปะใต้ไม่ใช่แค่การร้องเพลงแบบคอนเสิร์ตทั่วไป บรรดาแม่ยกของ “ลูกเอก” มีไม่น้อยเลยครับ แม่เล่าให้ฟังว่าแม่ค้าตลาดนัดแถวเขาพนม (กระบี่) ถ้ารู้ว่าลูกเอกแสดงที่ไหน ถึงไหนก็ถึงกันลงทุนเหมารถเมล์ไปดูกันเลยก็ว่าได้ รุ่งเช้ามาหลับเอาในตลาดนัด รักหลงกันขนาดว่าใครก็ตำหนิลูกเอกไม่ได้เชียวครับ
ผมเพิ่งไปเจอมาอีกเพลง “เมียอิทธิพล” ในชุด “ยอมให้เด็กหลอก” ฟังชื่อเพลงแล้วนึกไม่ออกว่าจะหมายถึงอะไร ฟังไปรอบแรกก็ยังนึกไม่ออก ต้องฟังรอบสอง ลองฟังดูนะครับ
อย่างที่ผมเคยพูดถึงหลายครั้งว่าศิลปะการแสดงภาคใต้ จะพูดถึง วิพากษ์หรือหยิบจับมาเสียดสีในทำนองขบขันในเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับบริบท และความเคลื่อนไหวของสังคม จุดนี้แตกต่างค่อนข้างเด่นชัดจากศิลปะพื้นบ้านของภูมิภาคอื่น ในเพลง “เมียอิทธิพล” พูดถึงนโยบายปราบปรามผู้มีอิทธิพลในสมัยรัฐบาลหน้าเหลี่ยม (ซึ่งเอาไว้บังหน้าเล่นงานหัวคะแนนฝ่ายตรงข้าม) คำว่าผู้มีอิทธิพล หมายถึง “คนใหญ่คนโต” เอกชัยหยิบมาเย้าในทำนองขบขันว่า เพราะนโยบายนี้ทำให้ต้องเลิกกับเมีย เพราะ “เมียเคยใหญ่” ฟังซ้ำนะครับ “เมียเคยใหญ่” แล้วสุดท้ายก็สบายใจเพราะเมียคนใหม่ ไม่ “เคยใหญ่ เคยโต”
คนใต้อ่านถึงบรรทัดนี้อาจแอบยิ้ม ส่วนคนภาคอื่นไม่เข้าใจใช่มั๊ยครับ คำว่า “เคย” ในภาษาใต้ นอกจากเป็นคำวิเศษแบบภาษกลางแล้ว ยังเป็นคำนาม มีสองความหมาย ความหมายหนึ่งหมายถึง “กะปิ” อีกความหมาย..ตรงนั้นๆ ของผู้หญิง